พิพัฒน์ คุณวงค์ (เรียบเรียง)
1. ความหมายของกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5 STEPs)
ปิ่นนรา บัวอิ่น (2556) กล่าวว่า กระบวนการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น เป็นกระบวนการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนตามหลักการการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีลักษณะเป็นการจัดการเรียนรู้ตามบริบทและธรรมชาติของวิชา เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุตามที่คาดหวัง ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ การตั้งประเด็นคำถาม/สมมติฐาน การสืบค้นความรู้จากแหล่งเรียนรู้และสารสนเทศ การสรุปองค์ความรู้ การสื่อสารและการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพ และการบริการสังคมและจิตสาธารณะ
ประยุทธ ไทยธานี (2556) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น (Big Five Leaning) เป็นการจัดการเรียนรู้ที่อาศัย ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) ที่เชื่อว่าการเรียนรู้เป็นเรื่องเฉพาะตัว การตีความหมายของความรู้เป็นไปตามประสบการณ์เดิม ความเชื่อ ความสนใจ ภูมิหลัง ฯลฯ การสร้างความรู้เป็นกระบวนการทั้งทางปัญญาและสังคม และอีกทฤษฎีหนึ่งคือ ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (Constructionism) ที่เชื่อว่าการเรียนรู้ที่เกิดจากการสร้างพลังความรู้ในตนเองและด้วยตนเองของผู้เรียนหากผู้เรียนได้มีโอกาสสร้างความคิด และนำความคิดของตนไปสร้างสรรค์ชิ้นงานโดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสม จะทำให้ความคิดนั้นออกเป็นรูปธรรมชัดเจน เมื่อผู้เรียนสามารถสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมา ก็หมายถึงการสร้างความรู้ขึ้นในตนเองนั่นเอง
พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2558) กล่าวว่า กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5 STEPs) หมายถึง กระบวนการ หรือแนวทางในการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้ 5 ขั้นตอนที่เน้นวิธีการสืบสอบหรือวิธีสอนแบบโครงงานประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ (1) การเรียนรู้ตั้งคำถาม หรือขั้นตั้งคำถาม (Learning to Question) (2) การเรียนรู้แสวงหาสารสนเทศ (Learning to Search) (3) การเรียนรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้ (Learning to Construct) (4) การเรียนรู้เพื่อการสื่อสาร (Learning to Communicate) และ (5) การเรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม (Learning to Service)
จาการศึกษาความหมายของกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ( 5 STEPs) ทำให้คณะผู้วิจัยมีความเข้าใจว่า เทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบนี้ มีความเหมือนกันกับการจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น กล่าวคือเป็นกระบวนการ หรือ วิธีการที่เน้นทำให้ผู้เรียนเกิดการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจากการถูกกระตุ้นด้วยคำถามจากผู้สอนแล้วเกิดข้อสงสัย จึงต้องพยายามแสวงหาข้อมูลความรู้ที่หลากหลายมาสร้างเป็นองค์ความรู้ด้วยตนเอง หรือร่วมกันในกลุ่ม แล้วถึงนำเสนอองค์ความรู้นั้นต่อส่วนรวมก่อนที่จะนำองค์ความรู้ที่ได้ไปตอบแทนสังคมหรือนำไปสร้างประโยชน์ต่อสังคมต่อไป
2. ลักษณะสำคัญของแนวคิดการจัดการเรียนรู้
ประยุทธ ไทยธานี (2556) กล่าวถึงแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น (Big Five Leaning) มีลักษณะสำคัญดังนี้
1) เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Learner-centered Approach) ซึ่งยึด
หลักการจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (Constructionism) และมุ่งการพัฒนาความสามารถพื้นฐานที่จำเป็นของผู้เรียน ในด้านภาษา (Literacy) ด้านคำนวณ (Numeracy) และด้านเหตุผล (Reasoning ability) ซึ่งสอดคลองกับนโยบายและเป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ. 2552-2561) โดยอาศัยทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ 2 ทฤษฎี คือ (1) ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง และ (2) ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน
2) มีการพัฒนาความสามารถพื้นฐานที่จำเป็นของผู้เรียน 3 ด้าน คือด้านภาษา ด้านคำนวณ และด้านเหตุผล ตามแนวคิดของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่ได้กำหนดจุดเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนในด้านความสามารถพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อให้สอดคลองกับนโยบายและเป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ. 2552-2561) คือความสามารถด้านภาษา ด้านคำนวณ และด้านเหตุผล
ความสามารถด้านภาษา หมายถึง ความสามารถในการอ่าน เพื่อรู้ เข้าใจ วิเคราะห์ สรุป สาระสำคัญ ประเมินสิ่งที่อ่านจากสื่อประเภทต่างๆ รู้จักเลือกอ่านตามวัตถุประสงค์ นำไปใช้ใน ชีวิตประจำวัน และอยู่ร่วมกันในสังคม ใช้การอ่านเพื่อการศึกษาตลอดชีวิต และสื่อสารเป็นภาษาเขียนได้ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษา และอย่างสร้างสรรค์
ความสามารถด้านคำนวณ หมายถึง ความสามารถในการใช้ทักษะการคิดคำนวณความคิดรวบยอด และทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ในสถานการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน
ความสามารถด้านเหตุผล หมายถึง ความสามารถในการเชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์มาวิเคราะห์ สงเคราะห์ ประเมินคา ข้อมูล/สถานการณ์/สารสนเทศ เพื่อการตัดสินใจ โดยมีเหตุผลประกอบ
อย่างสมเหตุสมผล (บนพื้นฐานของข้อมูล หลักการ เหตุผล ทางวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และการดำเนินชีวิต อย่างมีคุณธรรมและจริยธรรม)
3) มีการกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สำคัญ 5 กิจกรรม (Big Five Learning) ตามแนวทางของการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คือ
(1) การตั้งประเด็นคำถาม/สมมติฐาน (Learning to Question)
(2) การสืบค้นความรู้จากแหล่งเรียนรู้และสารสนเทศ (Learning to Search)
(3) การสรุปองค์ความรู้ (Learning to Construct)
(4) การสื่อสารและการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพ (Learning to Communicate)
(5) การบริการสังคมและจิตสาธารณะ (Learning to Serve)
3. ขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5 STEPs)
ประยุทธ ไทยธานี (2556) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น (Big Five Leaning) มีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้น ดังนี้
ขั้นที่ 1 ตั้งคำถาม (Learning to Question) เป็นขั้นตอนที่ครูผู้สอนจะนำเสนอภาพ สถานการณ์ คลิปวีดีโอ กรณีตัวอย่าง เพื่อให้ผู้เรียนได้รับรู้ถึงปัญหาหรือสถานการณ์ปัญหา เพื่อสร้างความรู้สึกอยากรู้อยากเรียน ทำให้ผู้เรียนเห็นคุณค่า ความสำคัญ รวมถึงประโยชน์ของสิ่งที่จะเรียน
ขั้นที่ 2 แสวงหาสารสนเทศ (Learning to Search) เป็นขั้นตอนที่ให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้หรือข้อมูลจากสื่อ และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลสำหรับการสรุปคำตอบของปัญหาที่ผู้เรียนได้รับ
ขั้นที่ 3 สร้างความรู้ (Learning to Construct) เป็นขั้นตอนที่ให้ผู้เรียนนำข้อค้นพบที่ได้จากการแสวงหาความรู้มาร่วมกันวิเคราะห์ อภิปราย ภายในกลุ่ม และทำการประมวลข้อมูลที่ได้รับเป็นองค์ความรู้ของกลุ่ม และนำองค์ความรู้ที่ได้มาสรุปความคิดรวบยอดเป็นคำตอบของปัญหาที่ผู้เรียนได้รับ อย่างเหมาะสมและเพียงพอ
ขั้นที่ 4 สื่อสาร (Learning to Communicate) เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนส่งตัวแทนกลุ่มออกมานำเสนอคำตอบของปัญหาที่ได้รับ และอภิปรายร่วมกันระหว่างกลุ่มถึงคำตอบที่ได้นำเสนอมา โดยใช้วิธีการนำเสนอที่กลุ่มผู้เรียนเป็นผู้กำหนดเอง พร้อมทั้งบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับขั้นตอนวิธีการเรียนรู้ และแสดงความรู้สึกจากการดำเนินการแสวงหาความรู้ของกลุ่ม
ขั้นที่ 5 ตอบแทนสังคม (Learning to Serve) เป็นขั้นตอนที่ให้ ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ มาจัดทำเป็นสื่อหรือชิ้นงานตามความถนัด และความสนใจ ของกลุ่ม เพื่อเผยแพร่แก่ผู้ที่สนใจด้วยวิธีการที่หลากหลาย
พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2558) กล่าวว่า ขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้แบบ กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ( 5 STEPs) ประกอบด้วย
ขั้นตอนที่ 1 การเรียนรู้ตั้งคำถาม หรือขั้นตั้งคำถาม เป็นที่ให้นักเรียนฝึกสังเกตสถานการณ์ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ จนเกิดความสงสัย จากนั้นฝึกให้เด็กตั้งคำถามสำคัญ รวมทั้งการคาดคะเนคำตอบ ด้วยการสืบค้นความรู้จากแหล่งต่าง ๆ และสรุปคำตอบชั่วคราว
ขั้นตอนที่ 2 การเรียนรู้แสวงหาสารสนเทศ เป็นขั้นตอนการออกแบบ/วางแผนเพื่อรวบรวมข้อมูล สารสนเทศ จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ รวมทั้งการทดลองเป็นขั้นที่เด็กใช้หลักการนิรภัย (Deduction reasoning) เพื่อการออกแบบข้อมูล
ขั้นตอนที่ 3 การเรียนรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้ เป็นขั้นตอนที่เด็กมีการคิดวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การสื่อความหมายข้อมูลด้วยแบบต่าง ๆ หรือด้วยผังกราฟิก การแปรผล จนถึงการสรุปผล หรือการสร้างคำอธิบาย เป็นการสร้างองค์ความรู้ ซึ่งเป็นแก่นความรู้ประเภท
1. ข้อเท็จจริง
2. คำนิยาม
3. มโนทัศน์
4. หลักการ
5. กฎ
6. ทฤษฏี
ขั้นตอนที่ 4 การเรียนรู้เพื่อการสื่อสาร คือ ขั้นนำเสนอความรู้ด้วยการมใช้ภาษาที่ถูกต้อง ชัดเจน และเป็นที่เข้าใจ อาจเป็นการนำเสนอภาษา และนำเสนอด้วยวาจา
ขั้นตอนที่ 5 การเรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม เป็นขั้นตอนการฝึกเด็กให้นำความรู้ที่เข้าใจ นำการเรียนรู้ไปใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวม หรือเห็นต่อประโยชน์ส่วนรวมด้วยการทำงานเป็นกลุ่ม ร่วมสร้างผลงานที่ได้จากการแก้ปัญหาสังคมอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งอาจเป็นความรู้ แนวทางสิ่งประดิษฐ์ ซึ่งอาจเป็นนวัตกรรม ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม อันเป็นการแสดงออกของการเกื้อกูล และแบ่งปันให้สังคมมีสันติอย่างยั่งยืน
ซึ่งจากการศึกษาขั้นตอนกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ( 5 STEPs) และขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น (Big Five Leaning) ผู้วิจัยได้สรุปขั้นตอนเพื่อใช้ในการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ ดังนี้
1. การเรียนรู้ตั้งคำถาม หรือขั้นตั้งคำถาม (Learning to Question) หมายถึง กระบวนการที่ผู้สอนใช้คำถามเข้าสู่บทเรียน ทำให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด ในการหาคำตอบ กระตุ้นให้ผู้เรียนตอบคำถาม โดยนักเรียนร่วมกันตอบคำถาม ใช้กระบวนการคิด และการให้เหตุผล โดยมีกิจกรรม เช่น ผู้สอนใช้คำถามเข้าสู่บทเรียน
2. การเรียนรู้แสวงหาสารสนเทศ (Learning to Search) หมายถึง กระบวนการที่ผู้สอนแบ่งกลุ่มนักเรียนตามที่ออกแบบการจัดการเรียนรู้ไว้ และให้นักเรียนจับกลุ่ม ศึกษาแสวงหาข้อมูลเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่หลากหลายและถูกต้อง เช่น การให้นักเรียนแบ่งกลุ่มโดยการนับเลข 1-6 จากหน้าห้องไปยังหลังห้อง คนที่นับเลขเดียวกันอยู่กลุ่มเดียวกัน แบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 7 คน และให้นักเรียนศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นมาของชนชาติไทย จากหนังสือแบบเรียน และ Internet หรือระบบสืบค้น
อื่น ๆ
3. การเรียนรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้ (Learning to Construct) หมายถึง กระบวนการที่ให้นักเรียนอภิปราย และหาข้อสรุปของกลุ่มเพื่อเป็นการสรุปองค์ความรู้ที่ได้จาการค้นคว้า โดยครูอาจเตรียมอุปกรณ์ในการสรุปองค์ความรู้ของนักเรียน เช่น การเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้นักเรียนจัดทำแผนผังความคิดจากข้อมูลที่ได้ศึกษามาแล้ว ซึ่งอาจมีการกำหนดประเด็นเนื้อหาที่ต้องการให้นักเรียนเกิดองค์ความรู้ด้วย เช่น ในการสร้างองค์ความรู้ เกี่ยวกับแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นมาของชนชาติไทย มีการสร้างองค์ความรู้ในประเด็นเหตุผลสนับสนุนแนวคิดจากนักวิชาการ เหตุผลสนับสนุนแนวคิดจากสมาชิกในกลุ่ม และประโยชน์จากการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นมาของชนชาติไทย
4. การเรียนรู้เพื่อการสื่อสาร (Learning to Communicate) หมายถึง กระบวนการที่นักเรียนร่วมกันนำเสนอผลงานตามที่ได้รับมอบหมาย โดยมีผู้สอนอำนวยความสะดวกในการนำเสนองานของนักเรียนแต่ละกลุ่ม พร้อมทั้งเพิ่มเติมมูลแต่ละแนวคิดที่ไม่ชัดเจน
5. การเรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม (Learning to Service) หมายถึง กระบวนการที่ผู้สอนพยายามทำให้นักเรียนตระหนักในการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในสังคม เช่น การให้นักเรียนบอกประโยชน์จากการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นมาของชนชาติเพื่อทำให้เขาเห็นแนวทางในการนำความรู้ไปใช้ในสังคมชัดเจนขึ้น และอาจมีการสรุปความรู้ในบทเรียน เช่น การตอบคำถาม หรือข้อสงสัยของผู้เรียน
จากขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่คณะผู้วิจัยได้สรุปไว้ ทำให้ทราบว่าผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ในทุกขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยเฉพาะในขั้นที่ 1 การเรียนรู้ตั้งคำถาม หรือขั้นตั้งคำถาม (Learning to Question) ที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด ในการหาคำตอบ และในขั้นที่ 3 การเรียนรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้ (Learning to Construct) เพื่อใช้ในการอภิปรายและสร้างองค์ความรู้หาข้อสรุป ซึ่งผู้เรียนจำเป็นใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์จากข้อมูลที่หามาได้ โดยทั้งสองขั้นตอนต้องอาศัย ขั้นที่ 2 การเรียนรู้แสวงหาสารสนเทศ (Learning to Search) ขั้นที่ 4 การเรียนรู้เพื่อการสื่อสาร (Learning to Communicate) และขั้นที่ 5 การเรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม (Learning to Service) จากเทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ( 5 STEPs) ประกอบเข้าด้วยกัน ซึ่งคณะผู้วิจัยเชื่อว่าจะทำให้กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิดวิเคราะห์เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
เอกสารอ้างอิง
ประยุทธ์ ไทยธานี. (2556) การพัฒนาครูโดยใช้กระบวนการสร้างระบบพี่เลี้ยง Coaching and Mentoring สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31.นครราชสีมา: คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา.
ปิ่นนรา บัวอิ่น. (2556). บันได 5 ขั้น (5L) สู่การพัฒนาผู้เรียน. เข้าถึงเมื่อวัที่ 20 พฤษภาคม 2557. จาก http://203.172.238.228/plan/km1/?name=research&file=readresearch&id=34.
พิมพันธ์ เดชะคุปต์, และพเยาว์ ยินดีสุข. (2558). การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที 21 (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.